กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม

Department of Corrections, Ministry of Justice
เรือนจำกลางสุราษฎร์ธานี
กระบวนการยุติธรรม
-ตำรวจ
*เรียกคนต้องคดีว่า @ผู้ต้องหา
-ทนายความ
-อัยการ
-ศาล
*เรียกผู้ถูกกล่าวหาว่า @จำเลย
-ราชทัณฑ์
เรียกคนต้องขังว่า @ผู้ต้องขัง
เรียกคนคดีเด็ดขาดว่า @นักโทษ
-ตำรวจ มีอำนาจขอศาลฝากขังผู้ต้องขัง(ที่เรือนจำ) ระหว่างสอบสวน ฝากละ 12 วัน ไม่เกิน 7 ฝาก (สูงสุด 84 วัน)
-อัยการ มีอำนาจฝากขังระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง เช่นเดียวกับตำรวจ อัยการทำหน้าที่เป็นโจทก์แทนผู้เสียหาย แทนตำรวจ แทนรัฐ พิจารณาเสนอบทลงโทษอย่างเป็นธรรมต่อศาลตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนคดีถึงที่สุด
-ศาล มีอำนาจสั่งขังระหว่างพิจารณาจนกว่าจะมีคำพิพากษา
หากไม่อุทธรณ์ / ฎีกา ในเวลาที่กำหนด คดีถือว่าถึงที่สุด คำพิพากษาของศาลฎีกาเป็นอันสิ้นสุด จะต่อสู้คดีต่อไปไม่ได้
-ทนายความ เข้ามามีบทบาทตั้งแต่ชั้นจับกุม
-ราชทัณฑ์ (เรือนจำ) ควบคุมตัวผู้ต้องขังตั้งแต่ชั้นฝากขังของตำรวจ จนถึงมีคำพิพากษาของศาล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี แต่ปฏิบัติต่อผู้ต้องขังตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หลักอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา หลักสิทธิมนุษยชน และมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด
การปล่อยตัวชั่วคราว
การปล่อยตัวชั่วคราวหรือการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดี
ผู้ต้องขังที่ยังอยู่ระหว่างคดี คือ
-ขังระหว่างสอบสวนของตำรวจ
-ขังระหว่างไต่สวนมูลฟ้องของอัยการ
-ขังระหว่างพิจารณาคดีของ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา
ผู้อยู่ระหว่างฯ สามารถยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวได้ที่ศาลทุกคน ศาลจะอนุญาต/ไม่อนุญาต มีเงื่อนไขหรือต้องใช้หลักทรัพย์จำนวนเท่าใด ขึ้นกับการพิจารณาของศาล หากคดีถึงที่สุดแล้วไม่สามารถขอประกันตัวได้อีก เรือนจำจะบังคับโทษตามคำพิพากษานั้น
คดีเด็ดขาดถึงที่สุด
-
ศาลชั้นต้น ไม่อุทธรณ์ตามเวลา คดีถือเป็นที่สุด
-
ศาลอุทธรณ์ ไม่ฎีกาตามเวลา คดีถือเป็นที่สุด
-
ศาลฎีกา คำพิพากษาถือเป็นที่สุด
คดียังไม่ถึงที่สุด ไม่จัดเป็นนักโทษเด็ดขาด ไม่มีชั้น ไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ไม่ได้พักการลงโทษ/ลดวันต้องโทษ ไม่ได้รับสิทธิ์ของนักโทษเด็ดขาด
(หัว)ใบแดง หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด
เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้บังคับคดีตามคำพิพากษา ยกเว้น
-
ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว แต่ขอสู้คดีเนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรม ปฏิเสธมิได้กระทำความผิด หรือขอลดโทษ คดีขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ (กรณีไม่อุทธรณ์ ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด)
-
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้ว แต่สู้คดี อาจนำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกา (กรณีไม่ฎีกา ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด)
ศาลฎีกา พิพากษาถือเป็นสิ้นสุด ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด
ความอัศจรรย์ของสำเนาคำพิพากษา
1. สำเนาคำพิพากษากรณีคดียังไม่ถึงที่สุด
2. สำเนาคำพิพากษากรณีคดีถึงที่สุด
สำเนาคำพิพากษากรณีคดียังไม่ถึงที่สุด
สำเนาคำพิพากษาจะประกอบไปด้วยพฤติการณ์การก่อเหตุของผู้ถูกกล่าวหา การพิจารณาคดีของศาล ซึ่งมีความจำเป็นที่ผู้ต้องขังจะต้องอ่านทำความเข้าใจ เพื่อนำไปใช้ต่อสู้คดีในชั้นต่อไป หรือแก้คำอุทธรณ์/ฎีกา ของโจทก์
ญาติสามารถติดต่อขอคัดถ่ายสำเนาคำพิพากษาได้ที่ศาล ส่งให้ผู้ต้องขังได้ ๒ ทาง คือ
๑) นำมาฝากให้ผู้ต้องขังที่เรือนจำ โดยเขียนคำร้องที่ฝ่ายทัณฑปฏิบัติระบุวัตถุประสงค์เพื่อนำไปต่อสู้คดี แล้วนำส่งที่ประตูเรือนจำ
๒) หากคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้ต้องขังไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อต่อสู้คดี ให้นำมามอบให้ฝ่ายทัณฑปฏิบัติหรือส่งถึงหัวหน้าฝ่ายทัณฑปฏิบัติ (คำพิพากษามีความหนาจะถูกจัดเป็นพัสดุที่ผู้ต้องขังไม่สามารถรับได้)
สำเนาคำพิพากษากรณีคดีถึงที่สุด
เรือนจำมีความจำเป็นต้องมีสำเนาคำพิพากษาของผู้ต้องขังทุกราย โดยมีวัตถุประสงค์
๑) เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาจำแนกลักษณะผู้ต้องขัง คัดกรองแยกแยะกลุ่มผู้ต้องขังและปฏิบัติต่อผู้ต้องขังได้เป็นรายบุคคล สามารถจัดการอบรมหรือกำหนดหลักสูตรที่เหมาะสม
๒) เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาสิทธิประโยชน์แก่ผู้ต้องขัง เช่น การพักการลงโทษ การลดวันต้องโทษ การเป็นผู้ช่วยงาน/ผู้ช่วยเหลือ การย้ายไปอบรมหรือฝึกวิชาชีพ การย้ายไปเรือนจำชั่วคราว การได้รับพระราชทานอภัยโทษ ฯลฯ
โดยปกติบางศาลเมื่อออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด จะให้สำเนาคำพิพากษามาด้วยโดยไม่ต้องร้องขอ แต่หากไม่มีฝ่ายทัณฑปฏิบัติมีหน้าที่ต้องขอจากศาล